Wednesday, July 26, 2006

เพราะ(มัน)สวยกว่า(มัน)เลยเจ๋งกว่า..ซะงั๊น!!!

กลับมาอีกครั้งกับอาทิตย์นี้ หลังจากถูกถล่มด้วยอีเมลและงานดีไซน์ที่มาจนปวดหัววันนี้ก็ได้ฤกษ์ที่ กกต จะเข้าคุก เอ้ย ไม่ใช่ซิ ต้องเป็นฤกษ์ที่จะอัพเดทบล๊อกของเราซักที, จากหนังสือเล่มนี้เค้าได้วางเรื่องของEMO Design ออกเป็นสองส่วนใหญ่ นั่นคือส่วนแรกคือการเรียนรู้ความหมายของสิ่งนั้นนั้น และส่วนที่สองคือขั้นของการฝึกปฏิบัติ ไม่เสียเวลาเรามาเริ่มกันที่ส่วนแรกเลยดีกว่า นั่นก็คือ ความหมายของสิ่งนั้นนั้น เริ่มต้นจากการที่คุณจะต้องรู้หลัก สองคำคือ
1.ของที่ดึงดูด สายตา ดึงดูดความสนใจได้มากกว่า ย่อมมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดีกว่า
2.ลักษณะและระดับขึ้นที่หลากหลายของอารมณ์ และการออกแบบ

1.ของที่ดึงดูด สายตา ดึงดูดความสนใจได้มากกว่า ย่อมมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดีกว่า (สวยกว่าย่อมเจ๋งกว่า ซะงั๊น..)
เรื่องราวของของสวยๆงามงามมีคนตั้งคำถามมากมายเช่นนักวิทยาศาสตร์อิสราเอล ตั้งข้อสังเกตุว่า "แน่นอนว่าของที่สวยกว่าย่อมได้รับความนิยมมากกว่า แต่เขากลับไม่เข้าใจว่าทำไมของที่สวยกว่าเหล่านั้นจึงเจ๋งกว่า ทำงานได้ดีกว่า" คำตอบนี้ได้รับการทดสอบโดยนักวิจัยชาวญี่ปุ่น โดยการศึกษาจากเครื่องATM ตามธนาคารสองแบบที่เหมือนกันทุกอย่างในการออกแบบทั้งเลยเอาท์การวางปุ่มกด โปรแกรมและวิธีการใช้งาน จะต่างกันก็คงจะเป็นที่อันหนึงเป็นปุ่มที่ชัดเจน แต่อีกอันเป็นจอ Touch screen ซึ่งก็แน่ละว่าจอที่ว่าย่อมสวยกว่าแบบกดปุ่มเป็นไหนๆ จากการสัมภาษณ์ผู้ใช้ไม่น่าเชื่อเลยว่า ผู้ใช้ตอบตรงกันว่าเครื่องที่เป็นแบบจอทัชกรีนทำงานได้ดีกว่าง่ายกว่าเครื่องที่เป็นปุ่ม ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ทั้งคู่ต่างมีพื้นฐานการทำงานอย่างเดียวกันและPlatform เดียวกัน
ไม่ว่าเค้าจะทดสอบที่ญี่ปุ่นหรือที่อิสราเอล ที่ที่คนมีแนวความคิดต่างกันไปอย่างไร คำตอบก็ยังเป็นคำเดิมว่า ความสวยงามกับฟังค์ชั่นการใช้งานนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างประหลาดและยากจะคาดเดาหรืออธิบายได้ นักทฤษฎีทางศิลปะบางคนเคยกว่าวว่า มันคงมีปัจัยที่เป็นความลับอะไรบางอย่างที่ทำให้ความสวยงามมีผลต่อความรู้สึกของการใช้งานของมนุษย์แน่นอนและสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นเป็นปรกติวิสัยในชีวิตประจำวันของเราซะด้วย เอาเป็นว่ามาถึงตรงนี้แล้ว เราคงต้องยอมรับแล้วละว่า "ของที่สวยกว่ามันย่อมทำให้รู้สึกว่ามันทำงานได้ดีกว่าเสมอ" แล้วเดี๋ยวผมจะกลับมาเล่าต่อว่า เค้ามีการทดลองและบทสรุปของทฤษฎีนี้ว่าอย่างไร แต่ตอนนี้ผมมีคำถามในใจ ว่าเอ๊ะถ้าเราหล่อกว่านี้เราจะดูเจ๋งกว่าปัจจุบันนี้มั๊ยน๊า ฮ่าๆๆ


Wednesday, July 12, 2006

Emotional design



โฉมหน้าปกหนังสือที่ตอนนี้ผมกำลังอ่านอยู่

กาน้ำทั้งสาม

Tuesday, July 11, 2006

ซื้อมาไม่ค่อยได้ใช้ แต่วางโชว์ไว้ อวดแม่ยาย

เรื่องของ Emotional Design ต่อจากนี้ผมจะพิมพ์แค่คำว่า EMO แล้วกันนะ ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องที่มีมานานแล้วก็ว่าได้ จำได้ว่าผมเคยได้ยินครั้งแรกจากเพื่อนที่ไปทำงานที่สิงค์โปร์แล้วเอ็มเอสเอ็นมาถามผมว่าผมรู้จักมั๊ยประเด็นนี้คำตอบคือผมน่ะไม่รู้จักหรอกสุดท้ายเลยเป็นสาเหตุให้ผมต้องไปค้นหามาด้วยความอยากรู้ส่วนตัว เริ่มเรื่องนั้นเค้ากล่าวไว้แสนง่ายแต่เข้าใจได้ในทั้นทีว่าเรื่องที่เราจะพูดนี้คืออะไร เค้าถามว่า " เคยสงสัยไหม ทำไมไวน์ห่วยๆราคาถูกๆถึงได้รสชาติดีเมื่อเวลาที่อยู่ในแก้วที่หรูๆ " "รถเก่าๆพอล้างให้สะอาดเข้าหน่อยมันดูวิ่งได้ดีขึ้น" หนังสือเล่มนี้แหละที่จะเป็นกุญแจที่ไขไปสู่คำว่าทำอย่างไรที่จะทำให้งานดีไซนืของเราไม่ได้เป็นแค่ของใช้งานที่ดี แต่ยังมีคุณค่าและความรู้สึกที่มีต่อผู้ใช้ประหนึ่งว่ามันดีขึ้นเจ๋งขึ้นนั่นเอง
เนื้อเรื่องของบทแรก Norman ได้กล่าวถึงของสามอย่างที่เค้ามีสะสมไว้ในบ้านของเค้านั่นก็คือ กาน้ำชา ชิ้นแรกเป้นกาน้ำชาที่เค้าเรียกว่า Impossible teapot ที่เป็นเช่นนั้นก็คงจะเพราะว่ามันมีหูกาอยู่ข้างเดียวกับพวยกานั่นเอง มันเป็นกาน้ำที่ไม่สามารถใช้งานได้เลย ชื่อของมันจริงๆคือ Coffee pot for Masochists ถ้าแปลไม่ผิดคงแปลว่า กาน้ำของผู้นิยมความเจ็บปวด เป็นยังไงก็คงเข้าใจกันดี ส่วนชิ้นที่สองเป็นกา Nanna ที่ออกแบบโดย michael grave สถาปนิกชื่อดังที่สวยและพอจะใช้งานได้ ส่วนสุดท้ายเป็นกาน้ำที่สุดแสนจะฟังค์ชั่น ของ Ronnefeldt ที่ราวกับว่าถูกออกแบบมาเพื่อความสมบูรณ์แบบในการชงชาชั้นสูงเพราะการใช้งานซับซ้อนกว่ากาธรรมดามากมาก คำถามคือปรกติแล้ว Norman ใช้กาอันไหนบ่อยที่สุด และคำตอบก็คือ ไม่ใช้เลยซักอันเดียว ที่เป็นเช่นนนี้ก็เพราะว่า ตัวเค้าเองต้องดื่มชาทุกเช้าและสิ่งที่เค้าต้องการมากที่สุดก็คือ ประสิทธิภาพ ดังนั้นเค้าจึงใช้กาต้มน้ำไฟฟ้า รินน้ำลงในถ้วยที่มีใบชาอยู่ในลูกบอลกรองชา แค่นี้ก็ได้ดื่มชาร้อนๆที่ง่าย สะดวกรวดเร็ว และทำความสะอาดง่าย แต่กลับกันที่เค้าดันตั้งกาน้ำทั้งสามโชว์ไว้ในที่ที่เห็นชัดที่สุดในบ้าน ทั้งๆที่เค้าไม่ได้ใช้มันเลย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเค้าให้คุณค่ากับกาน้ำทั้งสามใบไม่ใช่เรื่องประเด็นของการชงชา แต่เป็นประเด็นของความสวยงามที่ประหนึ่งว่าเป็นปฏิมากรรมนั่นเอง จะใช้จริงๆก็คงจะเป็นตอนที่มีแขกคนสำคัญมาที่บ้านและมีเวลา ต้องการจะโชว์จุดเด่นต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องความงามหรือเรื่องการออกแบบที่ชาญฉลาดก็เท่านั้น ใจความสำคัญเลยก็คือ ดีไซน์นั้นมีความสำคัญกับผู้ใช้ก็จริง แต่นั่นขึ้นอยุ่กับ โอกาส บริบทในการใช้งาน และที่สำคัญเหนืออื่นใด ก็คือขึ้นกับอารมณ์และความรู้สึก ณ เวลานั้นของผู้ใช้นั่นเอง แน่นอนว่าของบางชิ้นเราไม่ได้แค่ใช้งานมันอย่างเดียว แต่บางครั้งเรามีความสุขร่วมเมื่อได้ใช้ ได้ทำให้ผู้ใช้คิดไปถึงเรื่องราวต่างๆนานา ในเรื่องของการดีไซน์นั้น ดีไซนเนอร์เองจำเป็นที่จะต้องพิจารณาในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ กระบวนการผลิต การตลาด ราคาและความเหมาะสมในการใช้งานด้วย แต่ดีไซน์เนอร์ส่วนใหญ่มักลืมคิดไปว่า สิ่งของต่างๆนั้นล้วนแล้วแต่มีองค์ประกอบของอารมณ์และความรู้สึกที่มันมีต่อผู้ใช้อยู่ด้วยและในหนังสือเล่มนี้ยังกล่าวว่าบางทีองค์ประกอบด้านอารมณ์และความรู้สึกนี้เองที่เป็นตัวแปรที่สำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของสิ่งของชิ้นนั้นๆในตลาดมากกว่าการใช้งานซะอีก ++ เล่ามาถึงตรงนี้แล้วทำให้ผมคิดถึงคำพูดหนึ่งที่เคยมีกล่าวไว้ในหนังสือรวมผลงานของPhillip Stark ที่เค้ากล่าวไว้ว่า ที่คั้นน้ำส้มสุดดังของเค้านั้นมันใช้งานไม่ค่อยได้หรอก ใช้แล้วมันก็หกเลอะเทอะกระเด็นไปหมด แต่คนที่ซื้อมันมากที่สุดคือลูกเขยที่อยากจะซื้อไว้ตั้งโชว์เพื่อไว้ไว้อวดจะได้มีเรื่องไว้คุยกับเเม่ยายของเค้าเท่านั้นแหละ+++ ดูดูไปก็คงจะจริงอย่างที่ Phillip ว่าไว้

ปฐมบทแห่ง อีโมชั่นแนลดีไซน์

ขอเกริ่นซักนิดนึงก่อนว่า ผมเคยได้อ่านหนังสือของ คุณ Donald A. Norman (http://www.jnd.org/) มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนสมัยที่ผมทำ Individual study ตอนปีห้า หนังสือเล่มนั้นเป็นเล่มที่เรียกได้ว่าเป็นคัมภีร์ของการออกแบบผลิตภัณฑ์ของผมเลยก็ว่าได้ เพราะทำให้เข้าใจที่มาที่ไปของการออกแบบมากขึ้นเยอะ เสียดายมากที่ผมไม่ได้ซื้อมาเก็บไว้ หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า The design of everyday thing คุณสามารถจะหาดูได้ ที่ร้านเอเซียบุ๊ค ราคาไม่น่าจะแพงมากนัก เพียงแต่ว่าเอเซียบุ๊คจัดมันไว้ผิดที่ผิดทางไปหน่อยคือเค้าดันไปจัดไว้ในหมวดของหนังสือหมวดเกี่ยวกับการทำธุรกิจ เช่นเดียวกับหนังสือเล่มที่ผมกำลังจะอ่านและแปลอยุ่นี้ Emotional Design " Why we love(or hate) everyday things"ก็ดันถูกจัดอยุ่ในหมวดนั้นด้วยเช่นกัน สงสัยว่าคนจัดหมวดหนังสือเห็นว่ามันเป็นText book ที่ไม่มีภาพสีสวยๆล่ะมัง อ๋อว่าต่ออีกนิดเนื้อเรื่องทั้งหมดที่กำลังจะเขียนเป็นเรื่องที่ผมอ่านแล้วเข้าใจและพยายามที่จะถ่ายทอดออกมา เป็นภาษาของผมเอง เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่การแปลหนังสือให้อ่านนะครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราก็มาเริ่มกันได้เลย