Sunday, December 28, 2008

หนึ่งปีที่ผ่านไป ปีที่ผมเพิ่งเคยรู้สึกว่า ชีวิตเปลี่ยนไป จริงๆ

อยู่ดีดีวันนี้ก็อยากเขียนถึงเรื่องในรอบหนึ่งปีที่กำลังจะผ่านไป ความรู้สึกที่ชัดเจนของตัวเองที่รู้เลยว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง นั่นก็คือเรื่องของการประพฤติปฏิบัติตัวต่างๆ โดยเฉพาะการควบคุม กาย ปาก และ ใจ จากปากที่เคยไว แซวคนโน้นทีคนนี้ที พูดคุยเรื่อยเปื่อย คิดปั๊บก็พ่นออกปากปุ๊ป ก็เปลี่ยนเป็น คิด แล้วต้องไตร่ตรองก่อนแล้วค่อยพูด  เหมือนที่คนเค้าพูดว่า คิดแล้วค่อยพูด ในช่วงแรกๆนั้นมันอาจจะยากหน่อยสำหรับผม ที่ยากก็เพราะผมถือเอาตัวเองเป็นใหญ่ อย่างที่เคยพูดว่า ก็กูเป็นของกูอย่างนี้ ใครจะทำไม แต่ตอนนี้ก็เลยต้องพูดใหม่ ว่า เ ราเป็ฯตัวของตัวเรา ที่ต้องไ ม่ทำให้ใครเดือดร้อนหรือไม่สบายใจ  และจริงใจกับตัวเอง และความรู้สึก และความต้องการของตัวเองมากขึ้น
บางทีการที่เราไม่เคยคิดที่จะปฏิบัติเลยหรือไม่เคยคิดจะฝึกฝนอะไรเลย มันก็ทำให้ตัวตน Ego ของเรามันพอกพูนหนาขึ้น จนบางครั้งเราไม่ยอมรับฟังคนทัดทานหรือคนที่เห็นแตกต่างจากเราเลย ทั้งที่สิ่งที่เขาพูดนั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องกว่าสิ่งที่เราคิดซะอีก เราใช้ตัวตนและความคิดของเราตัดสินไปก่อนแล้วดังนั้นเราจึงละเลยที่จะฟังความคิด ความเห็นของคนอื่น

ผมว่าถ้าใครได้มีช่วงเวลาแบบนี้เหมือนผมคงจะเข้าใจได้ว่า ระหว่างทางนั้นมัน เจ็บปวด ทรมาน และ ทุกข์ร้อนมากขนาดไหน แต่พอมาถึงจุดตรงนี้แล้ว จุดที่เราพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จุดที่เราปฏิบัติตัวมาได้สักระยะหนึ่ง แล้วมองย้อนกลับไป ก็คงจะรู้ว่าที่เราเคยเป็นมานั้นมันไม่เหมาะไม่ควรขนาดไหน

การโตเป็นผู้ใหญ่นี่มันยากลำบากจริงๆนะเนี่ย แต่ก็ยังดีนะ ที่เราได้รู้สึกว่าเราเริ่มโตมากขึ้นแล้ว 

สุดท้ายนี้ คงจะขาดไม่ได้เลย คือขอขอบคุณคนที่คอยแนะนำ คอยตักเตือน และนำเราให้ออกเดินทาง คนคนนั้นคือเพน นั่นเอง

Sunday, November 23, 2008

จดหมายสมัครงาน จดหมายขอฝึกงาน

วันนี้ผมมีประสบการณ์แปลกๆมาเล่าให้ฟัง และอยากให้น้องช่วยใส่ใจกับเรื่องเล็กๆน้อย เรื่องก็คือมีน้องคนหนึ่งส่งอีเมลมาขอสมัครเข้าฝึกงาน โดยใช้ชื่อเรื่องว่า "พี่ครับรับเด็กฝึกงานรึเปล่าครับ" จากนั้นปรากฏว่าเปิดดูเนื้อหาของเมลกลับไม่มีเนื้อหาอะไรเลย ว่างเปล่า จะว่าไป ก็แปลกใจว่าเอ่อเดี๋ยวนี้เด็กๆเค้าขอสมัครงานกันเค้าทำกันง่ายๆขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย นอกจากไม่มีแบบฟอร์มแล้วยังออกไปในทางมักง่ายซะมากกว่า

วันนนี้เลยอยากมาขอแนะนำคนที่อ่านบล๊อกของผมว่า เรื่องของจดหมายสมัครงานนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญกับตัวเราอย่างมาก และมีผลโดยตรงกับเราว่าเราจะได้ทำงานนนั้นหรือไม่ คิดดูสิครับว่า ถ้าเรากับเขาต้องความรู้จักกันครั้งแรกแล้วคุณแสดงออกถึงความมักง่ายขนาดนี้แล้วล่ะก็ คนอ่านย่อมเห็นว่าคุณเป็นคนมักง่ายมากมากแน่แน่ แล้วยิ่งปัจจุบันนี้ที่มี Google เข้ามาช่วยแล้วล่ะก็การจะหาตัวอย่างจดหมายสมัครงานหรือหาตัวอย่าง Resume มันง่ายซะยิ่งกว่าอะไรซะอีก ดังนั้นคงไม่แปลกถ้าผมจะมองว่าน้องคนที่ส่งจดหมายมาแบบนี้นอกจาก อ่อนประสบการณ์ มักง่ายแล้ว ยังไม่เป็นคนไฝ่หาความรู้อีกด้วย ทั้งที่มีเครื่องมือที่มีพลังมหาศาลอยู่กับตัว กลับไม่รู้จักใช้

ดังนัันถ้าใครก็ตามที่กำลังจะสมัครงานแล้วล่ะก็ลองหาตัวอย่างดูนะครับว่าจดหมายสมัครงานที่ดีเป็นอย่างไร ผมใบ้ให้นิดนึงว่า อย่างน้อยต้องแนะนำตัว ชื่อเสียงเรียงนาม สถาบัน ประสบการณ์ และ ความสามารถ นะครับ และหากว่าเป็นจดหมายสมัครงาน ผมว่าก็ไม่เสียหายนะครับที่จะบอกเล่าสักนิดหนึ่งว่าจะทำการฝึกงานเพื่ออะไร ถ้ามีจดหมาทางการของมหาวิทยาลัยก็แนบมาด้วยก็จะดีครับ

ลองดูครับขอให้โชคดีกับการสมัครงานครับ

Saturday, December 22, 2007

เปลี่ยนแนวคิด สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าส่งออก

สถาณการณ์ค่าเงินบาทแข็ง ทำให้การส่งออกที่เคยอาศัยความได้เปรียบด้านราคาถูกมีความสามารถลดลง”เป็นคำพูดจากปากนักการเมืองหลายคนที่พูดถึงสถาณการณ์การส่งออกของประเทศไทยขณะนี้ ผมเกลียดจริงๆครับที่ท่านพูดแบบนี้เพราะว่าฟังแล้วมันสะท้อนให้เห็นว่าท่านเหล่านี้ยังคงเห็นประเทศไทยต้องไปแข่งด้านราคาสินค้าอยู่ดี มันเก่าแล้วนะครับท่านประเทศจีนนั้นเปิดประเทศมาเป็นสิบปีแล้วแต่ผู้บริหารประเทศไทยยังคงวางตำแหน่งของประเทศอยู่แบบเดิมก็คือแข่งทำของถูก เอาล่ะจะมีไอเดียของท่านมาใหม่หน่อยก็คงจะเป็นเรื่องการคิดริเริ่มการกระตุ้นว่าเฮ้ย!!เราต้องมีความคิดสร้างสรรค์นะ ต้องออกแบบนะ ต้องวิจัยนะ ต้องสร้างนวัตกรรมนะ ที่ท่านๆพูดมานั้นไม่ผิดหรอกครับ การใส่ดีไซน์และการออกแบบลงไปในสินค้านั่นก็เป็นทางหนึ่งครับที่เป็นทางออกจากวิกฤตนี้ครับการพูดเรื่องนี้ทำให้มีการตื่นตัวกันมากในหมู่ผู้ประกอบการกลายเป็นหันมาทำของสวยๆ เน้นแต่รูปลักษณ์ภายนอกกันใหญ่ ความจริงแล้วถ้าเรา หันมามองซิครับว่าประเทศเรานั้นโรงงานผู้ผลิตส่วนใหญ่ทำอะไรกัน คำตอบก็คือเรารับจ้างผลิตชิ้นส่วนเป็นส่วนใหญ่ แล้วโรงงานเหล่านี้ล่ะครับเค้าจะทำอย่างไร?????? คำตอบคือมีอีกหลายแนวทางที่เราสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทยได้ ไม่ใช่แค่การออกแบบเท่านั้น ขออาศัยประสบการณ์ที่ผมทำงานอยู่ในส่วนส่งออกมาประมาณ ห้าปี ผมคิดว่าแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทยมีง่ายกว่านั้นอีก ถ้าคุณคิดว่าการออกแบบมันไกลเกินไป อย่างแรกเลยครับ เลิกคิดว่าจะโรงงานเป็นอุตสาหกรรมเป็นการทำแต่หน้าที่ผลิตเท่านั้น แต่ให้คิดว่าโรงงานอุตสาหกรรมเป็นการบริการทางการผลิต ทำไมผมถึงพูดอย่างนี้เพราะว่ากระบวนการระหว่างทางก่อนที่จะผลิตสินค้าออกมานั้นสำคัญไม่แพ้รูปลักษณ์และคุณภาพการผลิตเช่นกันเผลอๆสำคัญกว่าด้วย ระหว่างทางที่ว่าก็คือ การให้การบริการกับลูกค้านั่นเอง การบริการที่ว่าเป็นการสร้างคุณค่าด้านความรู้สึก ผมว่าความรู้สึกที่ลูกค้าต้องการมากที่สุดก็คือ ความมั่นใจ ความรู้สึกสะดวกสบายงานเสร็จเร็ว และความรู้สึกถึงความเป็นคนพิเศษที่ได้รับการใส่ใจจากเรา ก็คือเริ่มตั้งแต่เริ่มโครงการกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการทำตัวเป็นคนหัวไวจับประเด็นและความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงประเด็นรวดเร็วนี่คือความประทับใจแรกของลูกค้าที่จะมีต่อสินค้าของเราเลย พูดง่ายๆว่าลูกค้าสบายใจเพราะทำงานกับคนหัวไว ต่อมาระหว่างการผลิตต้องติดต่ามผลง่ายพร้อมรายงานข้อมูลให้ทราบตลอดเวลาและต้องรายงานข้อมูลตามความจริงหรือใกล้เคียงความจริงมากที่สุดเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าว่าสินค้าจะผลิตเสร็จทันและได้คุณภาพตามที่กำหนด ความมีมาตรฐานของตนเองโดยต้องมีความซื่อสัตย์และเคารพในมาตรฐานตนเองเพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าของเรา และอย่างสุดท้ายคือซื่อสัตย์ตรงเวลาโปร่งใสตรวจสอบได้ เพราะทำให้เขารู้สึกว่าทำงานง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน หากจะให้ผมเน้นประเด็นหลักผมขอเน้นที่ สองประเด็นหลักคือ คุณภาพสินค้าที่สม่ำเสมอและ สามารถส่งสินค้าได้ตรงเวลา แค่สองอย่างนี้ถ้าทำได้ก็สามารถช่วยให้ลูกค้าประหยัดเงินได้มากมาย เพราะว่าการทำงานส่งของได้ตรงเวลานั้นอาจจะหมายความถึงความสะดวกรวดเร็วในการบริหารจัดการ และรวมไปถึงการไม่โดนปรับด้วยในกรณีการส่งของล่าช้า เท่าที่ประสบการณ์ของผมมีผมพบว่าลูกค้าที่ต้องการความมั่นใจในเรื่องคุณภาพและกำหนดส่งของแล้ว เขายินดีที่จะจ่ายราคาสินค้าที่แพงกว่านิดหน่อยดีกว่าเสี่ยงโดนปรับจากกรณีโดนเคลมเรื่องคุณภาพและเรื่องกำหนดส่งเสินค้า ซึ่งมักประสบปัญหากับโรงงานที่ประเทศจีน
ตรงนี้นี่เองที่ผมว่าเป็นสิ่งที่น่าจะเผยแพร่เพื่อให้เกิดแนวความคิดอย่างนี้แพร่หลายออกไป ก่อนจบผมขอเสริมเสนห์ให้กับสินค้าไทยด้วยประเด็นง่ายๆทำได้แน่แน่สำหรับคนไทยนั่นก็คือ มารยาทและวัฒนธรรมการต้อนรับอย่างไทยไทย เชื่อมั๊ยครับว่าลูกค้าของผมหลายๆคนชอบที่จะทำงานกับคนไทยด้วยเหตุผลง่ายๆคือความสบายใจและความรู้สึกอบอุ่นที่ทำงานกับคนไทย การไหว้การสวัสดี ขอบคุณ ความนอบน้อมอย่างคนไทยมีพลังอย่างมหาศาลในการตัดสินใจของลูกค้า และเสนห์ของคนไทยอีกอย่างเช่นการเดินก้มหัว การไม่เดินข้ามคร่อมสิ่งของ การไม่ใช้เท้าชี้หรือเตะ การรักษาความสะอาด ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าของเราได้ง่ายขึ้นเพราะเขาดูแล้วรู้สึกว่าเราดูแลและใส่ใจกับสินค้าของเขามาก ไม่ใช่เดินครอมเหยียบข้ามสินค้าไปมา สุดท้ายคงอยากฝากให้คนที่แวะมาอ่านแล้วเป็นเจ้าของสินค้าใดใดอยู่ให้คิดว่าเราทำงานหนักเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเป็นหลักกันดีกว่าครับ เพราะอยากให้คิดไว้เสมอว่า คนเราทุกคนล้วนต่างก็ชอบความสะดวกสบาย ยิ่งใครก็ตามที่ให้งานเขาสำเร็จง่ายขึ้นก็ยิ่งทำให้เขาตัดสินใจซื้อสินค้าของเราได้ง่ายขึ้น

Wednesday, October 31, 2007

3D Animation Pipeline

เรื่องมีอยู่ว่าเพื่อนสนิทของผมท่านหนึ่งซึ่งเป็น Animator อยู่ที่สหรัฐอเมริกา เขาเชิญผมให้เข้าไปร่วม Community ของเขาซึ่งเขาตั้งใจสร้างให้เป็นสถานที่สำหรับแลกเปลี่ยนความรู้ข้อมูลด้านAnimation ซึ่งผมก็เห็นด้วยและชอบอยู่แล้วเรื่องการเผยแพร่ความรู้ก็เลยตั้งใจเข้าไปเยี่ยมชม เลยเจอบทความที่เขาได้เขียนไว้และคิดว่าเป็นบทความที่น่าสนใจสำหรับน้องๆเพื่อนๆพี่หลายคนที่สนใจงานด้านอนิเมชั่น เลยขอถือโอกาสนี้เผยแพร่บทความของเขาด้วยเลยเป็นการร่วมด้วยช่วยกัน ถ้าสนใจก็สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ที่ www.maimalai.com หรือจะเข้าไปอ่านบทความเรื่อง 3D Animation Pipeline ได้ตามลิงค์นี้ครับ

ปล. ผมได้ทำการแปลไว้ให้ด้วยแล้วสำหรับน้องๆที่อาจจะไม่ถนัดอ่านเป็นภาษาอังกฤษก็ลองเข้าไปอ่านได้ครับตามลิงค์นี้นะครับ
http://www.maimalai.com/forums/viewtopic.php?f=8&t=19

ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ก่อตั้งเว็บ Maimalai ด้วยครับให้เขียนสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อๆไป

Thursday, June 28, 2007

1ปี ผ่านไป

เมื่อวาน 27 กรกฎาเป็นวันสำคัญของผมอีกวัน ความจริงแล้วในชีวิตผมไม่ค่อยมีวันอะไรสำคัญกับเขาหรอกครับ วันเกิดน่ะ แม่ไม่ได้จัดให้มานานตั้งแต่ตอนอยู่สัก ป 2 สองได้. แม่เคยสอนผมว่าทุกวันมันก็เหมือนกันแหละลูก แต่ไม่ใช่เมื่อวานนี้เพราะเมื่อวานเป็นวันที่ผมกับเพนกวินคบกันครบรอบ 1 ปี เมื่อวานเป็นวันที่พิเศษผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ผมอยากจะออกจากโรงงานตลอดเวลาแต่ทุกอย่างจะดูพยายยามขัดขวางไม่ให้ผมไปเจอเพนจนได้ รีบออกมาจากโรงงานตอนทุ่มนึง ล๊กมากมาก จิตใจกระวนกระวายอยากจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด แต่สุดท้ายโชคก็ยังพอเข้าข้างผมบ้าง โชคได้บันดาลให้ผมจับรถเที่ยวสุดท้ายจากกระทุ่มแบนเพื่อเข้ามายังอนุสาวรีย์ชัยทันเวลาตอนล้อกำลังหมุนพอดี จากนั้นนั่งรถไฟฟ้าต่อไปยังนานา ร้านที่เรานัดพบกันก็คือ Tony Roma ความจริงแล้วผมไม่รู้จักร้านนี้หรอกว่าขายอะไร เพราะมันไม่สำคัญที่อาหารหรอกแต่สำคัญที่ว่าเราได้อยู่กับใครต่างหาก ช่างเป็นโอกาสที่แล้ววิเศษและไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต อาหารค่ำที่แลนอร่อยกับคนที่เรารัก จะมีอะไรวิเศษไปกว่านี้อีกล่ะ ความรักมันดีอย่างนี้นี่เอง

ขอบคุณที่รักกันครับ

Friday, January 12, 2007

Blog tag

โดน http://puvanai.blogspot.com/ แท็คมา ก็เลยทำตามแต่โดยดี
blog tag การแท็คคืออะไร..? คนที่โดนแท็ค จะต้องเขียนเรื่องราวเกี่ยว
กับตัวเอง 5 ข้อ ที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยซึ่งคนทั่วไปอาจจะไม่รู้และ
แท็คต่อไปอีก 5 คน เอาไปขึ้น blog ตัวเอง
1. เห็นพูดกันเรื่องชื่อผมก็เลยจะขอเล่าของผมบ้าง เชื่อหรือไม่ว่าผมมีชื่อประธานจากสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อน แต่ไม่ได้ใช้เพราะแม่คิดว่าชื่อมันดูแปล่งๆและเรียกยากเกินไป นั่นคือชื่อว่า " ดิลกนารถ" แถมฉายาพระคือ " ดิลกนาโท " ป๊ากับแม่เลยตัดสินใจใช้ ชื่อ จุลดิษฐ์ แทน มาจากชื่อสกุลดั้งเดิมของแม่คือ ดิษยเดช นั่นเอง

2.ต่อมาเป็นเรื่องชื่อเล่นบ้าง จริงๆแลวที่บ้านเรียกผมว่า อั้ม แต่ผมชอบให้คนอื่นเรียกผมว่าจุลมากกว่า เพราะตอนเด็กรู้สึกว่าชื่ออั้มมันไม่เหมือนคนอื่นเลย อายเค้า คนอื่นเค้าชื่อ บอล ชื่อเเจ๊ค ชื่อนัทกัน เราชื่ออั้มไม่เท่เลย แต่ที่ผมเพิ่งรู้มาเมื่อไม่กี่วันนี้เองคือที่มาของชื่อเพราะเพนกวินไปถามแม่ผมว่าที่ชื่ออั้มเพราะกินเก่งหรือเปล่า ? ปรากฏว่าที่แม่ตั้งว่าอั้มเพราะอยากให้ผมกินข้าวเยอะแบบที่ผู้ใหญ่ชอบหลอกเด็กว่า อั้มๆๆๆๆๆ

3. ผมว่ายน้ำเป็นเพราะผมอยากผิวดำ ที่เป็นอย่างงั๊นก็เพราะว่าผมเคยถูกเพื่อนประถมและ ม ต้นเรียกว่า "ไอ้แป๊ะ" ซึ่งผมไม่ชอบเอามากมาก ตอนม2 ผมเห็นเพื่อนไปเรียนว่ายน้ำแล้วตัวมันดำ เลยขอแม่ไปเรียนว่ายน้ำ หลังจากนั้นฝันของผมก็เป็นจริง ตัวดำขึ้นเพื่อนเลิกเรียกว่าไอ้แป๊ะซักที

ปล. แม่เล่าว่าสมัยเรียนอนุบาล ครูเรียกผมว่า คุณนิ่ม เพราะผมทำอะไรช้าไปซะหมด

4. ผมเป็นนักประท้วงตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กป๊าสอนให้เอารถถังเด็กเล่นมาตั้งหน้าบ้านแล้วบอกว่า ปฏิวัติ ตอนอนุบาลเคยชวนเพื่อนๆสไตร์คไม่เคารพธงชาติ เพราะครูไม่ให้ผมชักธงชาติทั้งๆที่เป็นคิวผมที่จะต้องชัดธงชาติวันนั้น

5. เรื่องของการหลับในห้องเรียนและหลับตอนทำงานเป็นเรื่องที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เด็ก ผมจำได้ว่าผมเข้าเรียน ป 1 วันแรกผมก็หลับในห้องเรียน และผมก็ยังคงนั่งหลับมาเรื่อยๆจนกระทั้งทำงาน ครั้งหนึ่งอาจารย์คงโมโหและมั่นใส้ผมมากมาก แกก็เลยปลุกผมด้วยการเอาน้ำพลูด่างมาสาด และไม่น่าเชื่อว่าผมต้องไปปรึกษากับหมอตอนอายุ 20 เพราะอาจารย์ที่มหาลัยคิดว่าผมเป็นโรคเหงาหลับ เฮ่ออออ.

Friday, September 15, 2006

การจัดการกับลูกค้า

เท้าความก่อนคือว่าเรื่องของการคิดราคาค่าออกแบบ วิธีการเก็บเงิน เนี่ยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะคาใจน้องน้องนิสิตอยู่เกือบทุกคนก็ว่าได้มักจะมีคำถามนี้เสมอๆ สำหรับผมเรื่องการคิดเงินนั้นไม่ยาก ผมใช้วิธีถามไปเลยว่าเค้ามีงบเท่าไหร่ให้เรา หรืองบก่อสร้างเท่าไหร่ แล้วเราก็ประเมินเอาจากนั้น 5% -10% ก็ว่ากันไป หรือไม่ก็เหมาเอา เป็นหมื่นๆ อันนี้แล้วแต่ความพอใจของเรากับลูกค้า แต่ที่ยากกว่าคือพอทำเอามากๆเจอลูกค้าหลายๆเจ้าเราจะทำอย่างไร ที่ยากและพบบ่อยสุดก็คือโดนเบี้ยวซะอย่างงั๊น ที่วันนี้มาพูดเพราพอดีอ่านบทสัมภาษณ์ของฝรั่งคนนึงเลยรู้ว่าเอองฝรั่งมันก็ไม่ต่างกับเรานะ โดนเบี้ยวอยู่บ่อยๆเหมือนกัน

ข้อแรกเลย เราต้องจัดการตัวเราเองซะก่อน เช่นทำการบ้านก่อนว่าเออคนที่มาจ้างเราเค้าอยยากได้งานแบบไหน เป็นคนชอบงานแบบไหน เรียกว่ารู้เค้าให้หมดจะได้ทำงานง่ายขึ้น รวมถึงอาจจะดูไปด้วยว่าประวัติของลูกค้าเราเป็นยังไง น่าเชื่อถือมั๊ย

ข้อสอง เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเมื่องานเราเสร็จเราจะเก็บเงินค่าจ้างได้ ฝรั่งคนนี้บอกเป็นัยๆว่า เฮอะๆๆๆ ต้องเจอเบี้ยวกันทุกคน มากบ้างน้อยบ้างว่ากันไป ทางที่ดีควรจะมีสัญญาว่าจ้างไว้ ซึ่งในนั้นจะต้องบอกความคาดหมายของคู่สัญญาที่คิดว่าจะได้รับ รวมไปถึงระยะเวลาการทำงาน ,ขอบเขตงาน,ค่าธรรมเนียมต่างๆ,ค่าแรง งวดการจ่ายเงิน ฯ เบื้องต้นอาจจะเรียกถึง 30%-50% ของค่าแรงทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อทดสอบความตั้งใจของผู้จ้างไปพร้อมๆกับหยังเชิงสถานะทางการเงินด้วย

ข้อที่สาม หลีกเลี่ยงการเสียเวลากับการแก้ไขแบบที่มักไม่จบสิ้นของลูกค้าด้วยการรายงานและสอบถามลูกค้าก่อนทุกขั้นตอนหากไม่มั่นใจ ความจริงเรื่องของการแก้แบบเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยเพราะลูกค้ามักเปลี่ยนใจบ่อย การแก้ไขให้ก็เป็นส่วนหนึ่งของงาน แต่บางครั้งก็อย่าลืมว่าแก้ให้มากขึ้นเงินรายได้ของเราก็ร่อยหลอลงทุกทีๆ

ข้อที่สี่ ลูกค้าเขี้ยว งานหิน จัดการยังไง คำตอบคือซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา และพูดความจริง เพราะบางครั้งลูกค้าอาจจะมีระดับผลงานอยู่แล้วในใจ ควรจะอธิบายว่าความสามารถเราทำได้ขนาดไหน อย่าดันทุรัง ค่อยๆพูดกันไปเพื่อหาจุดที่ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน

ข้อที่ห้า พยายามสนใจว่าลูกค้าพูด หมายความว่าอย่างไร มากกว่าที่จะสนใจว่าลูกค้าพูดว่าอะไร ทั้งนี้ต่างฝ่ายต่างก็มีความเชี่ยวชาญของตัวเองต่างกัน เราในฐานนะที่เป็นผู้มีความชำนาญในการออกแบบก็จะมีมุมองอย่างหนึ่ง ในขณะที่ลูกค้ามีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์มากกว่าเรา ดังนั้นการฟังและจับใจความของแต่ละฝ่ายให้ละเอียดชัดเจนคือทางออกที่ดีทึ่สุด เพื่อการทำงานที่ราบรื่นและได้ผลลัพท์ออกมาเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย

ที่เหลือก็คือประสบการณ์ในการทำงานที่จะมาคอยตัดสินว่างานไหนควรรับ งานไหนไม่ควรรับ เก็บตังอย่างไร พูดยังไงให้ได้โปรเจค นี่แหละที่เค้าเรียกว่าความเก๋ามันต่างกันไปในแต่ละคน